เนื่องจากการตรวจเลือด เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณรู้ได้ว่า มีหรือไม่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย ประเด็นหลักคือ ผู้ที่มีความเสี่ยง ควรได้รับการวินิจฉัย ทั้งพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ จากแพทย์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยได้แนะนำให้ทุกคนที่อายุระหว่าง 13-64 ปีตรวจสุขภาพ เพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และควรให้ความสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพประจำปี
กลุ่มความเสี่ยงสูงที่ควรไปตรวจ HIV
- มีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือช่องปาก โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- มีจำนวนคู่นอนหลายคน เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือใช้บริการผู้ให้บริการทางเพศเป็นประจำ
- มีการใช้เข็มฉีดยาสำหรับเสพสารเสพติดประเภทฉีดเข้าเส้น หรือแบ่งเข็มฉีดยาให้กับผู้อื่น
- มีประวัติว่าเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ภายในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีที่ผ่านมา
การตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ นี้สามารถช่วยในการรักษาได้ หากผลการตรวจพบว่าติดเชื้อ HIV การเริ่มต้นรักษาไวจะช่วยให้คุณรักษาสุขภาพได้อย่างเหมาะสม และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสให้กับผู้อื่นได้
เมื่อไหร่ที่ควรไปตรวจ HIV
หากคุณมีความเสี่ยงสูงต่อเชื้อเอชไอวีตอนนี้ ให้ไปที่ห้องฉุกเฉิน หรือติดต่อแพทย์เฉพาะทางทันที ตัวอย่างเช่น
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
- ถุงยางอนามัยแตกรั่ว หรือหลุดออกระหว่างมีเซ็กส์
- หรือถูกข่มขืน ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
การใช้ยาเป๊ป (PEP) จะช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และคุณจำเป็นต้องกินยานี้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีความเสี่ยง หากคุณไปพบแพทย์ไม่ทันเวลา สามารถสอบถามแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการตรวจเอชไอวีได้ ส่วนใหญ่การตรวจเอชไอวี คุณจะต้องรอ 2 สัปดาห์หรือมากกว่า หลังการสัมผัสเชื้อ เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำ ในระยะเวลาที่รอตรวจ HIV นี้คุณมีโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อไวรัสให้ผู้อื่นได้ทันที ดังนั้น คุณควรสวมถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์ เกือบทุกคนที่ติดเชื้อ HIV จะมีระดับภูมิคุ้มกันต่ำ (Antibodies) ที่ตรวจพบได้ในช่วง 3 เดือน ดังนั้น หากคุณตรวจ HIV แล้วเป็นผลลบ แพทย์ของคุณอาจจะต้องการให้คุณทำการตรวจซ้ำหลังจาก 3 เดือน เพื่อความแน่นอนอีกครั้ง
ข้อควรรู้ก่อนไปตรวจ HIV
นี่คือข้อควรรู้ก่อนที่คุณจะได้รับการตรวจเชื้อเอชไอวี:
การตรวจเอชไอวีเป็นความลับ
ผลเลือดเอชไอวีของคุณ จะถูกเก็บเป็นความลับ และจะแชร์กับผู้ที่คุณอนุญาตให้รับข้อมูล หรือเจ้าหน้าที่พยาบาลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่อยากเปิดเผยผลตรวจนี้ให้กับคนอื่น แม้แต่กระทั่งคู่นอนของตนเองก็ตาม และเพื่อให้ผู้ตรวจ HIV ได้มีความมั่นใจว่า ผลตรวจเอชไอวีของพวกเขาเป็นส่วนตัว ไม่ถูกนำมาใช้ในทางอื่นใดที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ตรวจรู้สึกสบายใจมากขึ้นในการเดินทางไปปรึกษาแพทย์ หรือรับการรักษาได้เมื่อรู้ตัวว่ามีเชื้อ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินหรือมีอคติกับพวกเขาได้
การตรวจเอชไอวีมีหลายรูปแบบ
ปัจจุบันมีการตรวจเอชไอวีในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ตามระยะเวลาที่ผู้ตรวจมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดที่เป็นการตรวจที่ใช้กันทั่วไปมากที่สุด นอกจากนั้น ยังมีการตรวจแบบเร่งด่วนที่สามารถให้ผลการตรวจได้ภายใน 20 นาที โดยตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วยเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ หรือสถานที่ทำการที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกความเหมาะสมให้กับผู้ตรวจ หลังจากได้ทำการซักประวัติเรียบร้อยแล้ว
การตรวจเอชไอวีมีความแม่นยำสูง
คุณสามารถเชื่อถือผลตรวจเอชไอวีทุกรูปแบบได้ แต่อยากให้เข้าใจว่าไม่มีการตรวจแบบไหนที่แม่นยำ 100% หากผลการตรวจเอชไอวีของคุณเป็นบวก หรือมีปฏิกิริยา จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัยจากแพทย์ ตรวจระดับของการติดเชื้อ แพทย์จะให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับไวรัส HIV อธิบายตัวเลือกการรักษากับผู้ติดเชื้อ การรักษาเชื้อเอชไอวีปกติจะรวมถึงการใช้ยาต้านไวรัส (ART) ซึ่งเป็นการรักษาที่ช่วยควบคุมไวรัส และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อได้ดี นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ติดเชื้อแจ้งคู่นอนที่มีเพศสัมพันธ์ หรือคนที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันให้เข้ามารับการตรวจเลือดด้วย เพื่อให้คำแนะนำเพิ่มเติม เช่น การรักษา การดูสุขภาพจิต และการสนับสนุนอื่นๆ
การตรวจเอชไอวีต้องรอระยะฟักตัว
ถึงแม้จะมีวิธีการตรวจเอชไอวีที่รวดเร็วภายใน 5-7 วันก็ตาม แต่แพทย์จะมีการแนะนำให้กลับไปตรวจซ้ำอีกครั้ง เพราะร่างกายของคนเรานั้น ใช้เวลาในการพัฒนาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส HIV หลังจากติดเชื้อได้ เพื่อให้สามารถตรวจพบ ส่วนใหญ่จะสามารถตรวจพบได้ภายใน 2-8 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อ แต่บางคนอาจใช้เวลานานถึง 3 เดือน หรือมากกว่านั้น ก่อนที่ภูมิคุ้มกันจะเพียงพอที่จะสามารถตรวจพบได้
ระยะฟักตัวในการตรวจ HIV (Window Period)
ระยะฟักตัว คือ ช่วงเวลาระหว่างการติดเชื้อ HIV และเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างสารต้านทานมากพอที่จะตรวจพบได้โดยใช้การตรวจเอชไอวีระหว่างช่วงนี้ คนที่อาจมีเชื้อไวรัส HIV จะมีผลการตรวจเป็นลบ เนื่องจากยังไม่มีสารต้านทานพอที่จะตรวจพบได้ ระยะฟักตัวนั้น อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจ HIV โดยบางวิธีสามารถตรวจพบสารต้านทานได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ ในขณะที่การตรวจวิธีอื่นๆ อาจใช้เวลาถึง 3 เดือนหรือนานกว่านั้น
ไปตรวจ HIV ได้ที่ไหน?
สถานที่ที่คุณสามารถทำการตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในพื้นที่ใดหรืออยู่จังหวัดใด โดยสถานที่ที่มีการให้บริการการตรวจเชื้อเอชไอวีได้แก่:
- คลินิกสุขภาพและศูนย์สุขภาพชุมชนทั่วประเทศ
- สำนักงานสาธารณสุขในเขตอำเภอจังหวัด
- คลินิกสุขภาพทางเพศและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- คลินิกวางแผนครอบครัว
- ศูนย์สุขภาพสำหรับชุมชน LGBTQ +
- ศูนย์การแพทย์ หรือศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัย
- คลินิกเอกชน หรือ Lab ทั่วไป
การตรวจ HIV ที่โรงพยาบาลรัฐหรือศูนย์สาธารณสุขประจำจังหวัด สามารถตรวจได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง หรือในบางองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก็ยังมีบริการตรวจเอชไอวีฟรี หรือมีบริการในราคาประหยัด หากตรวจพบว่าติดเชื้อ HIV องค์กรเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณได้รับการรักษา ในกรณีที่ตรวจเชื้อลบ องค์กรเหล่านี้สามารถแนะนำวิธีป้องกันการติดเชื้อ HIV ให้กับคุณได้
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม
จะเป็นอย่างไร? ถ้าคุณติดเอชไอวี
ยุงกัดติดเอชไอวี 2023 แล้ว! ทำไมคนยังเชื่อ?
การที่ผู้มีความเสี่ยงต่อ HIV เข้ารับบริการตรวจคัดกรองเชื้อที่รวดเร็ว และสะดวกสบาย จะช่วยเอื้อประโยชน์ในด้านการรักษาโรคไม่ให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่ภาวะเอดส์ได้สูงสุด ยิ่งตรวจเร็วเท่าไหร่ คุณก็มีโอกาสที่เร็วในการรักษา และดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยจากโรคแทรกซ้อน ระบบภูมิคุ้มกันเป็นปกติ การตรวจหาเชื้อ HIV ในระยะเริ่มต้นและการรักษาอย่างทันเวลา สามารถช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อเอชไอวีสู่โรคเอดส์ และช่วยให้ระหว่างขั้นตอนของการรักษาโรคมีประสิทธิภาพสูงสุด