HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอีกมากมายตามมาไม่ว่าจะเป็นโรควัณโรคปอด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคทางสมอง ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HIV ร่างกายมักจะเริ่มแสดงอาการต่าง ๆ ออกมาให้เห็น ภายใน 1-2 เดือน โดยจะมีอาการต่างๆ ดังต่อไปนี้
มีไข้ หนาวสั่น
อาการไอเรื้อรัง
กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ปวดเมื่อยตามร่างกาย
ปวดหรือวิงเวียนศีรษะ
คลื่นไส้อาเจียน
ผิวหนังเป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ หรือมีรอยฟกช้ำเป็นจุด
ต่อมน้ำเหลืองบวม
น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง
เหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
อาการ HIV และโรคเอดส์รักษาได้ไหม?
ในปัจจุบัน ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใด ที่ช่วยทำให้หายขาดจากการติดเชื้อ HIV หรือการป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ 100% ซึ่งแนวทางการรักษาในปัจจุบันของทั้งผู้ป่วย HIV และโรคเอดส์ มีเป้าหมายเดียวกัน คือการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันร่างกายที่บกพร่องของผู้ป่วย ให้กลับมาแข็งแรงเป็นปกติได้มากที่สุด โดย การใช้ยาต้านไวรัสที่ทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้ใกล้เคียงกับคนปกติ แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวันไปตลอดชีวิต
แต่สำหรับผู้ที่ ได้รับเชื้อ HIV ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน เช่นผู้ที่เพิ่งรู้ว่ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ป่วย HIV ถุงยางอนามัยแตก สามารถใช้ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อได้ประมาณร้อยละ 70 – 80 โดยจะต้องกินยาให้ครบ 28 วัน หากไม่ครบประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลง ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับหรือสัมผัสเชื้อ HIV แต่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เช่น ไม่ใส่ถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์ มีคู่นอนหลายคน ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น หากต้องการป้องกันการติดเชื้อ สามารถใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อประมาณร้อยละ 90 โดยแพทย์จะให้กินยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการตรวจหาการติดเชื้อ HIV และเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา โดยแพทย์จะนัดทุก 3 เดือน หากแพทย์เห็นว่าไม่มีความเสี่ยงแล้ว ก็จะสั่งให้หยุดการใช้ยา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น